วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รีวิวหนัง Man Of Steel

รีวิวหนัง Man Of Steel 

"หนังฮีโร่ทีวินาศสันตะโรที่สุดเท่าที่เคยดูมา"



          วันนี้ผมมีโอกาสได้ไปดู Man Of Steel มาครับ เลยอยากมาเล่าสู่กันฟังว่าเจ้าหนังเรื่องนี้มีดีอย่างไร และคุ้มค่าที่จะเสียตังค์ซื้อตั๋วไปดูหรือเปล่า (โรงหนังเดี๋ยวนี้ค่าตั๋วก็แพงแสนแพง นี่ยังไม่นับป็อบคอร์นกับน้ำนะ) ToT

          ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าผมดูหนังเรื่องนี้แค่รอบเดียวเท่านั้น อาจมีบางช่วงบางตอนที่ผมยังเก็บรายละเอียดได้ไม่หมด เนื่องจากตัวหนังค่อนข้างจะเดินเรื่องไปอย่างรวดเร็ว(โดยเฉพาะฉากต่อสู้) เอาเป็นว่ารีวิวเท่าที่ผมจำได้ก็แล้วกันนะครับ :)





          ช่วงแรกของหนังเราจะได้เห็นดาวบ้านเกิดของซุปเปอร์แมน ซึ่งเป็นอะไรที่ต้องชมมากๆเลยครับ ทั้งทิมออกแบบฉาก ออกแบบเครื่องแต่งกาย และทีมเอฟเฟค เพราะทุกอย่างถือว่าอยู่ในขั้นดีเลยที่เดียว เทคโนโลยีต่างๆเป็นอะไรที่ดูล้ำสมัยและเข้ากับความเป็น Man Of Steel สุดๆครับ

          สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้เลยตั้งแต่ช่วงแรกๆก็คือ เอฟเฟคแสงวิบวับ คล้ายๆกับที่เราเห็นใน Star Trek ทั้งสองภาค แต่เรื่องนี้อาจมีไม่มากเท่า และผมก็ค่อนข้างจะชอบเอฟเฟคนี้เพราะมันดูแล้วตื่นตาตื่นใจดี คล้ายๆเวลาเราดูพลู (ว่าไปนั่น) ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบเพราะมันแสบตาไป


Character :: ตัวละคร

พ่อ


          ได้เวลามาพูดถึงตัวละครกันบ้าง กลุ่มแรกที่จะพูดถึงคือกลุ่ม "พ่อ" ครับ ใน Man Of Steel นี้ผมคิดว่าพ่อที่เป็นมนุษย์มีอิทธิพลมากในการหล่อหลอมให้บุรุษเหล็กของเราเติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่  เราสามารถเห็นได้ในหลายๆฉากว่า พ่อคนนี้มีแนวคิดที่จะให้บุรุษเหล็กของเรา ปกปิดซ่อนเร้นพลังของตัวเองไว้ เพราะเค้ากลัวว่าถ้าผู้อื่นรู้เข้าจะกลัวในสิ่งที่ลูกชายเป็น

          ส่วนพ่อแท้ๆของเค้าก็เป็นคนที่มองการณ์ไกลและมีเมตตา เค้าหวังว่าจะให้ลูกชายช่วยชี้นำมนุษย์ชาติไม่ให้ก้าวไปในทางที่ผิดเหมือนพวกตน นักแสดงที่รับบทนี้ก็คือ รัสเซล โครว์ ซึ่งเค้าก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกๆฉากสมกับที่เป็นดารารางวัลออสการ์(นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Gladiator)



นางเอก


          บอกตรงๆเลยว่าครับแรกที่เห็นนางเอกคนนี้ในตัวอย่างหนัง ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าเธอเท่าไหร แต่พอได้ดูหนังจริงๆผมกลับคิดว่าเธอค่อนข้างทำหน้าที่ได้ดี ทั้งการแสดงสีหน้าและแววตา(ตาสวย) 
ก่อนดูหนังเรื่องนี้ผมเห็นหลายๆคนบอกว่าเรื่องนี้ทำได้ไม่ดีในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกกับพระเอก แต่ผมกลับคิดว่าทุกอย่างดูโอเคแล้วนะ  เอาเป็นว่าให้ผ่านละกัน




ตัวร้าย


          คนนี้แหละครับคือบุคคลที่ผมคิดว่าแสดงได้ดีที่สุดในเรื่อง เค้าคนนั้นคือ ไมเคิล แชนนอน ผู้รับบทเป็นนายพลซ็อตตัวร้ายหลักของเรื่อง ผมคิดว่าเค้าทำได้ดีในทุกๆฉาก ไม่ว่าจะเป็นการแสดงสีหน้าเวลาโกรธ(ดูรูปสิครับ) การเป็นผู้ที่อุทิศตนให้แก่พวกพ้องและอุดมการณ์ และฉากต่อสู้ที่สุดแสนจะอลังการ(เรียกได้ว่า Avenger ชิดซ้าย) ที่สำคัญนายพลท่านนี้ยังปรับตัวเก่งอีกต่างหาก(ดูแล้วจะรู้)


เกราะท่านนายพลซ็อตเท่ห์สุดๆไปเลยครับ




จุดอ่อน


จริงๆอย่าเรียกจุดอ่อนเลยครับ เอาเป็นจุดที่ผมคิดว่าไม่สมจริงดีกว่า 

          จุดนั้นคือหน่วยทหารของมนุษย์ครับ ให้เราลองคิดตามนะ สถานะการณ์คือเอเลี่ยนมาโจมตีอเมริกา แต่การสั่งการโจมตีโต้ตอบทั้งหมดกลับอยู่ที่นายพลคนเดียว คนเดี่ยวนะครับย้ำว่าคนเดียว ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องใหญ่แบบนี้การสั่งการน่าจะเป็นระดับผู้นำประเทศสั่งนะครับ นี้ยังไม่นับว่าการโจมตีจริงๆไม่ได้ส่งผมแค่อเมริกา แต่ส่งผลทั้งโลกนะ เรื่องใหญ่แบบนี้มันต้องถึงสหประชาชาติเลยแหละ (ว่าไปนั่น)





สรุป


เอาหละครับ บ่นมาซะเยอะแล้ว เรามาสรุปกันเถอะ

          ในความคิดผม Man Of Steel ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เป็นการคืนชีพให้กับฮีโร่เก่าแก่รายนี้ได้อย่างน่าชื่นชม ซุปเปอร์แมนภาคนี้ดูมีความเป็นคนมากขึ้น สำหรับผม ผมได้รับคำตอบหลายอย่างในสิ่งที่ผมเคยสงสัย (เช่น ตัว S ที่หน้าอกคืออะไร ,ใครเป็นคนออกแบบชุดให้ แล้วทำไมมันทนนัก ,ทำไมซุปเปอร์แมนถึงเป็นคนดีขนาดนี้ ฯลฯ) ทุกคำถามได้รับการอธิบายและผมก็ค่อนข้างจะพอใจกับคำตอบที่ได้รับ

          สุดท้ายสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของหนังเรื่องนี้คือฉากต่อสู้ครับ หนังเรื่องนี้เป็น หนังฮีโร่ที่วินาศสันตะโรที่สุดเท่าที่เคยดูมา บางฉากทำให้ผมนึกถึง หนังเรื่องThe Matrix Revolutions(2003)ครับ มันคล้ายๆกันตรงที่เป็นการต่อสู้ระหว่างพวกเหนือมนุษย์เช่นเดียวกัน บางที่ก็ได้อารมณ์แบบดราก้อนบอลZ นะครับ


เอาหละครับ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว เอาเป็นว่าผมขอจบเท่านี้ก็แล้วกันนะครับ ราตรีสวัสดิครับ!!!

ปล.ที่ผมไม่ได้พูดถึงพระเอกไม่ใช่เพราะลืมนะครับ แต่ยังไม่มีอะไรจะพูดตอนนี้ ไว้ดูรอบสองแล้วค่อยมาพูดดีกว่าครับ

ปล2.ถ้าใครคิดว่าจะไปดูหนังเอามันส์ เรื่องนี้ตอบโจทย์คุณได้ครับ

แถมเบื้องหลัง 13 นาทีให้ดูกันเล่นๆนะครับ



May The Force Be With You  ::  ขอพลังจงสถิตย์อยู่กับท่าน



Read More...

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เปลี่ยนแอนดรอยด์ให้เป็นวินโดวส์โฟนด้วย Launcher 8

เปลี่ยนแอนดรอยด์ให้เป็นวินโดวส์โฟนด้วย Launcher 8

          สำหรับบล็อกแรกของผม ผมจะมาแนะนำสุดยอดแอพที่จะเปลี่ยนหน้าตามือถือแอนดรอยด์ตัวเก่งของเราให้มีหน้าตาเหมือนกับวินโดวส์โฟนกันครับ


          สุดยอดแอพตัวนั้นมีชื่อว่า Launcher 8 หน้าตาก็เป็นแบบในรูป รองรับตั้งแต่แอนดรอยด์ 2.1 ขึ้นไป ขนาดก็แค่ประมาณ 4.5 MB เองครับ ว่าแล้วก็โหลดมาเลย!!!



          พอติดตังเสร็จเราก็กดปุ่มโฮมออกจาก Play Store ครับ แต่คราวนี้เครื่องจะถามเราว่าเราจะเลือกใช้ Launcher ตัวไหน ให้เราติ๊กถูกตรง Use By Default for This Acion ก่อนนะครับ จากนั้นค่อยเลือก Launcher ที่เราต้องการ ซึ่งในที่นี้เราเลือก Launcher 8 ตัวล่าง



          จากนั้นเราก็จะพบว่าโทรศัพท์แอนดรอยด์ของเรา หน้าตาคล้ายวินโดวส์โฟนมากครับ คล้ายจนแทบจะแยกไม่ออกกันเลยที่เดียว!!! 



          สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกับหน้าตาของวินโดวส์โฟนนะครับ ไอ้เจ้าสี่เหลี่ยมสีๆที่อยู่บนหน้าจอเนี่ยเค้าเรียกมันว่า "Live Tile" ครับ เจ้า live tile เนี่ยมันสามารถขยับได้ สามารถแสดงการแจ้งเตือนต่างๆในตัวมันได้เลยครับ ถ้าเทียบกับแอนดรอยด์ก็จะคล้ายกับพวก widget อะไรประมาณนั้น


          เราสามารถจัดการ live tile ได้เหมือนกับวินโดวส์โฟน ด้วยการแตะที่ live tile ค้างไว้ จากนั้นจะมีเมนูตั้งค่าปรากฎขิ้นมาที่มุมสามมุม 
-รูปปากกา(มุมบนซ้าย)คือการตั้งค่าการแสดงผล เช่น สี หรือรูป 
-รูปหมุด(มุมบนขวา)คือการลบ live tile อันนั้นทิ้ง 
-รูปลูกศรคือการกำหนดขนาดของ live tile (มี 3 ขนาด คือ 1X1  2X2 และ 2X4)



          หากเราปัดไปทางซ้าย ก็จะเป็นหน้ารวมแอพทั้งหมดในเครื่อง ซื่งจะเรียงแถวเดี่ยวตามลำดับอักษรเหมือนกับวินโดวส์โฟน ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบการเรียงแบบนี้ เราสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการกดปุ่มเมนูแล้วเลือก List or Grid จะเห็นว่ามีเมนูแบบแอนดรอยด์ที่เราคุ้นเคยอยู่ด้วย




          หากเราต้องการเอาแอพจากหน้ารวมไปยังหน้า live tile ก็ทำได้ง่ายๆด้วยการแตะค้างที่แอพนั้น แล้วเลือก Add tile เราจะเห็นแอพที่เราเลือกไปปรากฎที่ด้านล่างของหน้า live tile จากนั้นเราจะจัดวางมันตรงไหนก็สามารถทำได้ครับ




          นอกจากนั้นเจ้าแอพ Launcher 8 ยังสามารถ เปลี่ยนธีมสีได้มากมาย วิธีการก็คือกดปุ่มเมนู แล้วเลือก Theme(รูปพู่กัน) >>> เลือก Tile theme color >>> เลือกสีที่ต้องการ ชอบสิไหนก็เลือกกันตามสบายเลยครับ




          ยังไม่หมดแค่นั้นครับ แอพตัวนี้ยังเปลี่ยนหน้า Lock Screen ให้เป็นเหมือนกับวินโดวส์โฟนด้วย (เลื่อนขึ้นเพื่อปลดล็อก) ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนไปใช้รูปในเครื่องเราได้ง่ายๆโดยการ กดปุ่มเมนู เลือก Wallpaper >>> Lockscreen wallpaper >>> Pick from phone




ตัวอย่าง Lock Screen



          จริงๆแล้วความสามารถของแอพนี้ยังมีอีกมากมายครับ เรียกได้ว่าถ้าปรับแต่งกันเต็มที่จริงๆแล้วแทบจะแยกไม่ออกเลยหละว่าเครื่องไหนแอนดรอยด์เครื่องไหนวินโดวส์โฟน แต่วันนี้เวลามันไม่ค่อยจะเอื้ออำนวย(จขบ.ยังไม่ได้ทำการบ้านเลย) ดังนั้นวันนี้ขอหยุดไว้เท่านี้ก่อนนะครับ


May The Force Br With You  ::  ขอพลังจงสถิตย์อยู่กับท่าน

Read More...