วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รีวิวเพลงที่ฟังตลอดทั้งปี 2014

และแล้วปีใหม่ก็มาเยือน... มันเป็นธรรมเนียมที่ทุกปีผมจะมาเขียนรีวิวเพลงที่ได้ฟังในเวลาตลอดทั้งปี  ปีนี้เป็นปีที่ 3 ที่ได้ทำเช่นนี้ แต่มันเป็นปีแรกที่ได้มาเขียนที่นี่ ในบล็อกกากๆของผมเอง


ปีที่เพิ่งจะผ่านไปนี้ค่อนข้างจะเป็นปีที่ดีสำหรับผม แต่ในขณะเดียวกันมั้นก็เป็นปีที่เจอเรื่องยุ่งเข้ามาในชีวิตมากมายด้วยเช่นกัน ทั้งเรื่องที่ผมได้เป็นพี่ปีสอง ต้องคอยให้คำปรึกษากับน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่(และผมคิดว่าผมค่อนข้างทำได้ดีทีเดียว) ไหนจะต้องเรียนวิชาในภาคที่สำคัญสุดๆเพราะมันเป็นพื้นฐานอย่าง Data Structures (ซึ่งผมก็ผ่านมันไปได้ด้วยดี ถึงแม้จะขลุกขลักบ้างตอนทำโปรเจค) ต้องเจอกับวิชาคำนวนที่ผมไม่ค่อยจะชอบอย่างวิชา Discrete (แต่ไม่รู้เป็นไง ยิ่งเรียนยิ่งหลงรักวิชานี้) และยังมีเรื่องอื่นๆที่ได้เจอเยอะแยะมากมายเกินกว่าจะเล่าได้หมด

และด้วยความยุ่งที่บอกไปด้านบนนี้เองบวกกับการที่ผมลงวินโดวส์ใหม่(ผมเป็นหนึ่งในคนที่ลองใช้ Windows 10) ทำให้ผมไม่ค่อยจะมีเวลามาเก็บสถิติเพลงที่ฟังซักเท่าไหร่ ปีนี้ผมเลยคิดว่า ผมจะเปลี่ยนเป็น รีวิวอัลบัมที่ฟังบ่อยๆในปีนี้ก็แล้วกัน

_________________________________________________________________________

#### อัลบัมที่ 1 ####


อัลบัม Girl 
เอาหละ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า อัลบัมแรกที่ผมได้ฟังก็คือ Girl ของ Pharrell Williams
ต้องออกตัวก่อนว่่าผมเองก็ยังเข้าไม่ถึงอัลบัมนี้ซักเท่าไหร่ แต่มันก็มีเพลงที่ผมชอบอยู่หลายเพลงเลยทีเดียว เพลงเด็ดในอัลบัมนี้ผมขอยกให้ Marilyn Monroe(8/10) และ Gust of Wind(8.5/10) ที่ได้ Daft Punk มาร่วมแจม


MV เพลง Marilyn Monroe

_________________________________________________________________________

#### อัลบัมที่ 2 ####


ปกอัลบัม Supermodel ของ Foster The People (สวยมาก)
ต่อกันด้วยอัลบัมใหม่ของวงอินดี้ชื่อน่ารักอย่าง Foster The People ที่ปีนี้มากับอัลบัมใหม่ Supermodel ถึงแม้อัลบัมนี้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านรายได้เท่าไหร่แต่มันประสบความสำเร็จในใจผมมากครับ เป็นอะไรที่ฟังเพลินๆได้เกือบทั้งอัลบั้ม ที่บอกว่าเกือบนี่ก็เพราะว่าท้ายอัลบัมมันปิดได้ไม่ค่อยสวยซักเท่าไหร่ เพลงเด็ดที่จะแนะนำ(เลือกยากนะ เพราะทั้งนั้น) Best Friend(9.5/10) และ เพลงชื่อโคตรเจ๋งอย่าง A Beginner's Guide To Destroying The Moon(8.5/10) 


MV เพลง Best Friend

_________________________________________________________________________


#### อัลบัมที่ 3 ####


อัลบัม 1989
อัลบัมที่สามเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของตัวผมเอง นั่นก็คืออัลบัม 1989 ของ Taylor Swift สาเหตุที่มันเหนือความคาดหมายก็เพราะว่าปรกติแล้วผมไม่ชอบฟังเพลงของเทย์ซักเท่าไหร่ ผมคิดว่ามันคันทรีย์ไป เพิ่งจะมาอัลบัมหลังๆนี้เองที่มีเพลงที่ผมพอจะฟังได้ และ 1989 ก็เป็นอะไรที่ดีมากมายในความคิดผม มีเพลงที่ชอบหลายเพลงมากในอัลบั้มนี้ แต่ที่ชอบที่สุดนี่ต้องยกให้ Style(9.7/10) อันดับที่สองก็คือ I Know Places(9.2/10) และสุดท้ายคือ Blank Space(8.5/10)

MV เพลง Blank Space

_________________________________________________________________________

#### อัลบัมที่ 4 ####


ปกอัลบัม Pure Heroine มาแบบเรียบๆ
อัลบัมที่สี่ เป็นอัลบัมจากนักร้องหน้าใหม่อีกคนของวงการ นั่นก็คือ หนู Lordes อัลบัมนี้มีนามว่า Pure Heroine(แค่ชื่อก็ อาจจะทำให้ติดได้) เพลงของหนูหลอดเป็นอะไรที่แปลกและแตกต่างกับของศิลปินท่านอื่นในวงการพอสมควร มันฟังดูช้าเนิบนาบในขณะเดียวกันมันก็มีจังหวะเป็นของตนเอง เพลงที่ผมชอบก็คือ 400 Lux(9/10)  Buzzcut Season(9/10) และ Team(9.5/10)

MV เพลง Team

_________________________________________________________________________

#### เพลงแห่งปี ####


ทั้งสี่อัลบัมที่ผ่านมาล้วนเป็นอัลบัมที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งสำหรับผมในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่จริงๆแล้วยังมีอีกหนึ่งอัลบัมที่ผมฟัง แถมฟังบ่อยมากซะด้วย แต่บอกตรงๆครับว่าผมเองยังไม่กล้าที่จะรีวิวมันครับ ในความคิดผม มันดีเกินไป เกินกว่าจะมาเล่ามาบบรรยายเป็นคำพูดได้ครับ ในอัลบัมนี้เองมีเพลงเพลงหนึ่งที่ผมฟังบ่อยที่สุด ผมจึงยกให้เป็นเพลงแห่งปีสำหรับผมเพลงนั้นก็คือ Sad Girl จาก อัลบัม Ultraviolence ของ Lana Del Rey นั่นเองครับบบบ




ขอบคุณเพลงทุกเพลงในนี้จริงๆที่ช่วยให้ผมผ่านพ้นปีนี้มาได้ ทุกเพลงเปรียบเสมือนเพื่อนของผมคนหนึ่ง บางเพลงเป็นเพื่อนในยามดีใจ บางเพลงเป็นเพื่อนในยามทุกข์ใจ ในขณะที่บางเพลงเป็นเพื่อนที่ค่อยอยู่ข้างกันในยามวุ่นวาย ผมหวังว่าปีหน้าผมจะได้เจอเพลงดีๆแบบนี้อีก...


Read More...

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

You've got to love yourself.


         

"Find out for yourself all the strengths you have inside of you."
"ค้นหาด้วยตัวของตัวเอง ด้วยพลังทั้งหมดที่คุณมี"







            Song For a Friend คือเพลงของเจสัน มราซ ที่ผมฟังบ่อยที่สุด(อ่านดีๆนะ ฟังบ่อยที่สุด ไม่ใช่ชอบที่สุด) อาจจะเป็นเพราะว่าผมชอบฟังเพลงที่มันตอกย้ำความรู้สึกตัวเอง


          สำหรับผมแล้วเพลงนี้มันเป็นเหมือน "ที่สิงสถิตย์ของจิตวิญญาณแห่งความเหงา" ฟังแล้วมีผลทำให้เหงามากกว่าเดิมแบบยกกำลังสองแล้วคูณเข้าไปอีกสาม!!(เวอร์)


          เอาแค่ได้ยินเสียงกีต้าร์ตอนเริ่มเพลงแค่นี้ก็ได้สำผัสได้ถึงพลังงานแห่งความเหงามาแต่ไกล นี่ยังไม่นับน้ำเสียงนักร้อง ที่ร้องได้เชือดเฉือนอารมณ์ความรู้สึกชนิดที่ว่า....หนาวไปถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว


          ท่อนที่โดนที่สุดก็คงจะเป็นท่อนที่ร้องว่า ...you've got to love yourself...  มันคอยเตือนใจตัวผมเองมาตลอดว่า เมื่อเราอยู่คนเดียว สิ่งที่เราต้องทำก็คือ รักตัวเอง เพราะเราไม่ได้อยู่กับใครนอกจากตัวเราเอง ดังนั้นจงรักมันซะ และรักมันให้มากๆด้วย...




ใครที่ต้องการเพิ่มความเหงาให้กับตัวเอง ก็จงกดฟังดู


Read More...

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รีวิวอัลบัม We Sing, We Dance, We Steal Things - Jason Marz (MASTERPIECE)

ในบรรดาผลงานเพลงทั้งหมดของ Jason Marz อัลบัมที่ดีที่สุดและผมถือว่าเป็น มาสเตอร์พีชของเขาเลยก็คือคืออัลบัม We Sing, We Dance, We Steal Things (ชื่อยาวจัง)




ความเป็นมาสเตอร์พีชของอัลบัมนี้เห็นได้ชัดที่ภาคดนตรี ที่มีการพัฒนาจากอัลบัมเก่าของเขาอย่าง Mr. A-Z ค่อนข้างมาก ด้วยการปรับให้ดนตรีออกแนว Acoustic มากขึ้น แซมด้วยเสียงเครื่องเป่า(ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือเครื่องดนตรีชนิดไหน) พอรวมเข้ากับน้ำเสียงหวานๆขยี้ใจสาวที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาแล้ว มันเป็นอะไรที่วิเศษณ์มากครับ เรียกได้ว่าลงตัวอย่างน่าประหลาด (ฮา)


อัลบัม Mr. A-Z



แทรคแนะนำ

1.Make It Mine(4.75/5) แทรคเปิดอัลบัมที่บ่งบอกภาพรวมของอัลบัมได้เป็นอย่างดี ดนตรีออกแนวสนุกสนาน มีทั้งเสียงเครื่องเป่า บางท่อนใช้เสียงประสานบวกกับจังหวะปรบมือ ถือว่าทำได้ดีมากครับ แค่เปิดอัลบัมมาก็ฟินแล้ว

2.I'm Yours(4.5/5) เพลงนี้ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ เพราะมันเป็นเพลงที่คนไทยน่าจะได้ยินกันบ่อยที่สุดในอัลบัมนี้เลยหละ ด้วยดนตรีที่เป็น Acoustic เนื้อหาเพลงและความหมายก็ดีสุดๆ แถมเพลงนี้เฮียเจสันยังโชว์ทักษะการร้องขั้นเทพของแกเต็มที ช่วงไหนรัวได้เฮียแกรัวไม่ยังเลยนะครับ เพลงนี้ติดทำสถิติอยู่ในชาร์ตบิลบอร์ดนานถึง 76 สัปดาห์ด้วยกัน (ปรบมือ)

3.Lucky (Feat. Colbie Caillat)(4.25/5) แทรคนี้ได้นักร้องเสียงหวานอย่าง Colbie มา feat ด้วย เลยออกมาหวานนนนนนนนนนนมากครับ ไปเปิดที่ไหนควรจะมีคำเตือนขึ้นมาด้วยว่า "อันตราย! ฟังเพลงนี้แล้วอาจละลายได้" สำหรับผมแล้ว เพลงนี้มันหวานไปหน่อยครับ ฟังมากๆแล้วเลี่ยน (ฮา)




4.Butterfly(5/5) และแล้วก็มาถึงแทรคที่ผมชอบที่สุดในอัลบัมนี้ เริ่มจากภาคดนตรีที่จัดเต็มด้วยเครื่องเป่า และภาคการร้องที่ยอดเยี่ยมพอๆกับ I'm yours เนื้อเพลงถึงแม้จะหวานแต่ก็ออกมาหวานพอดิบพอดี เหมือนเอาข้อดีจากสามแทรคด้านบนมารวมกันเลยทีเดียว!!!

5.The Dynamo Of Volition(4.5/5) ฟังครั้งแรกแล้วถึงกับตกใจ เพราะเกือบทั้งเพลงใช้การร้องรัวๆกึ่งแร็ปแบบที่ไม่เคยได้ยินจากทุกเพลงในอัลบัมนี้ ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดีครับ

6.A Beautiful Mess(4.75/5) แทรคปิดอัลบัมสุดซึ้ง ตอนฟังครั้งแรกๆผมรู้สึกเฉยๆกับแทรคนี้ แค่คิดว่ามันเป็นเพลงสวยๆซึ้งๆแบบที่เฮียเจสันถนัด แต่พอได้ดูตอนที่เฮียแกไปแสดงสดในงานประกาศรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ความคิดผมเปลี่ยนทันทีครับ เพราะเพลงนี้แสดงสดแล้วเพราะมาก(ถึงมากที่สุด) น้ำเสียงตอนนั้นทำให้รู้สึกได้ถึงพลังแห่งสันติภาพที่กระจายอยู่รอบตัวเราเลยทีเดียว(เว่อร์ละ)


Jason Marz เป็นหนึ่งในนักร้องไม่กี่คนที่ร้องสด เพราะกว่าในแผ่น


อยากให้ลองฟังกันดูครับ เพลงของเจสันส่วนใหญ่ค่อนข้างฟังง่าย ฟังแล้วสบายใจ ได้อารมณ์ชิลชิลๆ เหมาะอย่างยิ่งที่จะฟังในวันพักผ่อน  ที่สำคัญด้วยสไตล์การร้องที่ฟังง่าย ร้องไม่เร็วมาก(ยกเว้นบางเพลงเช่น The Dynamo Of Volition) และเนื้อเพลงที่ไม่ซับซ้อน ทำให้เพลงของเขาเหมาะกับคนที่ต้องการฝึกทักษะภาษาอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง


Read More...

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Born To Die อัลบัมในดวงใจตลอดการ





ผมรู้จักอัลบัมนี้ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตผมก็ว่าได้ เป็นอัลบัมแรกที่ผมฟังจบทุกๆเพลง และฟังวันละหลายๆรอบด้วย เรียกได้ว่าถ้าเปรียบอัลบัมนี้เป็นคนๆหนึ่งแล้ว เค้าคงเป็นคนพิเศษของผมอย่างแน่นอน อัลบัมนี้มีความพิเศษและแตกต่างกับอัลบัมอื่นๆที่วางขายในเวลานั้นค่อนข้างมาก และความแตกต่างนี้เองที่ทำให้มันมีเอกลักษณ์และมีความพิเศษกว่าอัลบั้มทั่วๆไป




อัลบัม Born To Die ตัวเพลงจะเป็นแนวที่ ลาน่า(นักร้อง)เรียกว่า "Hollywood Sadcore" ผมเองก็ไม่รู้ครับว่ามันหมายถึงอะไร แต่ในความคิดผมดนตรีจะออกแนวย้อนยุคช่วงปี 60 รวมเข้ากับซาวด์ประกอบหลอนๆ แล้วก็เจือด้วยน้ำเสียงแบบเศร้าๆเข้าไป มันจึงเกิดเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและโดนใจผมสุดๆไปเลยครับ แต่แนวเพลง Hollywood Sadcore นี้ก็เหมือนเป็นดาบสองคมเช่นเดียวกัน กล่าวคือถ้าใครชอบก็จะชอบจนเหมือนต้องมนต์สะกดเลยที่เดียว(เช่นผม เป็นต้น) ส่วนถ้าใครไม่ชอบฟังแล้วอาจจะลบเพลงทิ้งเลยก็ได้ครับ(น่าเสียดาย...)


ปกอัลบัม Born To Die


และอีกสาเหตุที่ทำให้ผมชอบอัลบัมนี้ก็คือ...นักร้องครับ ลาน่า เดล เรย์ (Lana Del Rey) หรือชื่อจริงคือ อลิซาเบ็ธ วูลริดจ์ แกรนด์ เป็นคนที่สวยมาก สวยจนไม่รู้จะบรรยายยังไงเลยหละครับ เอาเป็นว่าดูรูปเองก็แล้วกัน






ได้ขึ้นปกนิตยสารมากมาย



ดูรูปจนอิ่มแล้ว เรามาเริ่มแนะนำแทร็คเด็ดๆในอัลบั้มนี้กันเลยดีว่า

Born To Die(10/10) เป็นแทรคเปิดอัลบัมที่ฟังแล้วรู้สึกถึงภาพรวมของอัลบัมนี้เป็นอย่างดี ขึ้นต้นเพลงด้วยเสียงเครื่องสายสวยๆ ตามด้วยน้ำเสียงเศร้าของลาน่า เรียกได้ว่าได้ยินแล้วถึงกับต้องเหลียวหลังมองเลยทีเดียว องค์ประกอบทุกอย่างทำได้ลงตัว แถมฟังง่ายด้วยนะ




Off To The Races(9.5/10) รอบแรกๆที่ฟังผมมักจะกดข้ามแทร็กนี้ครับ เพราะมันขึ้นต้นแปลกๆ(หัก 0.5) แต่พอเวลาผ่านไป ความชอบผมก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัวครับ ยิ่งท่อนท้ายๆที่คุณเธอประเคนเครื่องสายกันมาแบบจัดเต็มแบบไม่ให้หายใจหายคอ เล่นเอาฟินกันเลยทีเดียว


Blue Jeans(9/10) แทรคนี้ฟังแล้วให้อารมณ์แก็งมาเฟียมาครับ(หรือผมคิดไปเอง?) ได้กลิ่นฮิฟฮอฟอ่อนๆด้วย เป็นแทรคที่แปลกพอๆกับแทรคก่อนหน้า ที่ผมชอบที่สุดคือ MV ครับ ถึงมันจะเป็นขาวดำ แต่มันสื่อให้เห็นถึงความน่ากลัวของคนรักได้ดีมาก(ก็เล่นลงไปว่ายน้ำกับจรเข้เลย)




Video Games(9.8/10) เพลงนี้เอาแค่เสียงระฆังตอนต้นก็ได้ใจผมไปครึ่งหนึ่งแล้วครับ ยิ่งได้น้ำเสียงของลาน่ากับเนื้อเพลงหวานๆเข้ามาอีก ชอบที่สุดก็คือท่อนที่ร้องว่า "Heaven is a place on earth with you" ถ้าเปรียบเพลงนี้เป็นผู้หญิงก็ต้องเป็นผู้หญิงสวยมากครับ สวยระดับเดียวกับนักร้องเลยก็ว่าได้ ข้อเสียเดียวของเพลงนี้ก็คือมันเนิบนาบไปนิด ฟังแล้วอาจจะหลับได้ครับ(หัก 0.2)




National Anthem(10/10) เป็นอีกแทรคที่ทำได้ลงตัวมากๆ เริ่มต้นดัวเสียงเครื่องสาย(ถูกใจอีกแล้ว) ตามมาด้วยเสียงพลุ และต่อด้วยเสียงร้องในสไตล์ของลาน่า ตบท้ายด้วยท่อนฮุกที่เหมือนยกเอาคณะประสานเสียงมาร้องให้ฟัง ทั้งหมดนี้บอกเลยว่าฟินแน่นอนครับ


Lucky Ones(9.5/10) แทรคปิดท้ายอัลบั้มครับ และก็เป็นแทรคที่หวานที่สุดในอัลบั้มเลยก็ว่าได้ ทั้งเนื้อเพลงและก็น้ำเสียงที่หวานปานจะกลืนกิน(ระวังมดขึ้นนะ) ฟังมากๆอาจจะเป็นเบาหวานได้


ลองไปหามาฟังกันนะครับ ไม่แน่ท่านผู้อ่านอาจจะต้องมนต์สะกดของลาน่าแบบที่ผมโดนอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้ครับ


ปิดท้ายกันด้วยเอ็มวี Born To Die และ Blue Jeans






Read More...

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุลตร้าเซเว่น แตกต่างอย่างมีสไตล์



อุลตร้าเซเว่น เป็นอุลตร้าแมนที่ผมชอบที่สุดครับ เพราะว่าเซเว่นแตกต่างและดูจะแหวกกฎมากกว่าอุลตร้าแมนท่านอื่นๆ

ที่ว่าแตกต่างก็เช่น สีของอุลตร้าเซเว่นที่ส่วนใหญ่เป็นสีแดงส้มในขณะที่อุลตร้าแมนท่านอื่น(ในหมู่พี่น้องอุลตร้า)ตัวจะเป็นสีเงินมากกว่า(ยกเว้นน้องเล็กสุดอย่างทาโร่) ใครที่รู้จักผมดีจะรู้ว่าผมชอบสีแดงส้มแบบนี้มาก

อลุตร้าเซเว่นเต็มๆตัว



ความแตกต่างอีกประการก็คือ เวลาอุลตร้าเซเว่นต่อสู้ครับ อุลตร้าแมนท่านอื่นเมื่อแปลงร่างแล้วก็จะออกมาตัวใหญ่ๆแล้วตรงเข้าไปฟัดกับสัตว์ประหลาดเลย แต่อุลตร้าเซเว่นต่างออกไปครับ เมื่ออุลตร้าเซเว่นแปลงร่างแล้ว ขนาดตัวก็จะเท่าๆกับมนุษย์ธรรมดานี่แหละ แล้วหลังจากนั้นค่อยไปขยายร่างให้ใหญ่อีกที ด้วยวิธีการแบบนี้เองทำให้บางครั้งเราจะเห็นเซเว่นในร่างขนาดเท่าคนปกติเข้าไปปราบพวกเอเลี่ยน(ให้อารมณ์เหมือนดูไอ้มดแดง) แล้วค่อยขยายร่างไปสู้กับสัตว์ประหลาดต่อไป ถือเป็นอะไรทีแปลกใหม่ดี เพราะอุลตร้าแมนในความคิดของเราๆท่านๆจะต้องตัวใหญ่ๆ สู้กับสัตว์ประหลาดทีเมืองแทบพัง



อุลตร้าเซเว่นในไซส์เท่าคนปกติ


ความแตกต่างประการต่อมาก็คือ สไตล์การต่อสู้ครับ อุลตร้าเซเว่นมีอาวุธชนิดหนึ่งที่ชอบใช้บ่อยๆที่เรียกว่า "Eye Slugger"(อาย สลั้กเกอร์) เรียกแบบนี้หลายคนอาจจะงงกัน จริงๆแล้วเจ้าอายสลั้กเกอร์ก็คือหงอน(เรียกซะเสียเลย)ที่อยู่บนหัวอุลตร้าเซเว่นนั้นแหละครับ เจ้าอายสลั้กเกอร์นี้สามารถถอดออกมาจากหัวและใช้เป็นอาวุธขว้างใส่ศัตรูหรือใช้เป็นมีดได้ครับ อายสลักเกอร์เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเซเว่นเลยก็ว่าได้ เพราะอลุตร้าแมนท่านอื่นไม่มีอาวุธลักษณะแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วเซเว่นมักจะใช้อายสลั้กเกอร์จัดการกับศัตรูโดยการขว้างออกไปตัดแขนขาและหัว(โหดมาก!) ซึ่งต่างจากอุลตร้าแมนท่านอื่นที่มักจะจัดการด้วยการไขว้มือปล่อยลำแสง(ซึ่งผมรู้สึกว่ามันดูบ้าพลังเกินไปหน่อย)


อาย สลั้กเกอร์
อุลตร้าเซเว่นขณะปล่อยอายสลั้กเกอร์


แต่ก็ใช่ว่าเซเว่นจะปล่อยลำแสงไม่ได้นะครับ เซเว่นสามารถปล่อยสำแสงออกจากปุ่มพลังสีเขียวๆที่หน้าผาก ที่เรียกว่า "Emerium Beam" (เอเมอร์เรี่ยม บีม) และยังสามารถไขว้มือเพื่อปล่อยลำแสงแบบอุลตร้าแมนท่านอี่นได้ด้วย เรียกท่านี้ว่า "Wide Shot" เห็นมั้ยครับ อุลตร้าเซเว่นมีทางเลือกในการพิฆาตศัตรูมากมาย แต่เซเว่นเลือกใช้อายสลั้กเกอร์บ่อยที่สุด(รองลงมาก็เอเมอร์เรี่ยมบีม ส่วนไวด์ช็อตนี่นานๆจะเห็นที) ทำให้ได้ใจผมไปเต็มๆครับ เพราะมันดูไม่บ้าพลังจนเกินไป


Emerium Beam (เอเมอร์เรี่ยม บีม) 

Wide Shot (ไวด์ ช็อต)


สุดท้าย สิ่งที่ผมคิดว่าเซเว่นแหกและแหวกกฎกว่าอุลตร้าแมนท่านอื่นๆก็คือ...ปุ่มพลังที่หน้าอกครับ ท่านผู้อ่านน่าจะรู้นะครับว่าปุ่มพลังที่หน้าอกของอุลตร้าแมนมีไว้เพื่อเตือนและบอกถึงขีดจำกัดในการอยู่บนโลกของอุุลตร้าแมน โดยที่อุลตร้าแมนแทบทุกท่านจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น หลังจากนั้นมันจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง กระพริบๆ เพื่อบ่งบอกว่าใกล้หมดเวลา และไกลถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ อุลตร้าเซเว่นไม่มีปุ่มพลังที่ว่านี้ครับ เรียกได้ว่าเป็นอุลตร้าแมนตัวแรกและตัวเดียวเลยก็ว่าได้ที่ไม่มีปุ่มพลังที่หน้าอก แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ได้ไม่จำกัดนะครับ เพราะจากที่ผมไปสืบค้นข้อมูลมา อุลตร้าเซเว่นมีเวลาปราบสัตว์ประหลาดประมาณ 3.5 นาทีเท่านั้นครับ(พอๆกับอุลตร้าแมนท่านอื่น)


อุลตร้าเซเว่นคืออุลตร้าแมนคนเดี่ยวในหมู่พี่น้องอุลตร้าที่ไม่มีปุ่มพลังที่หน้าอก




นี่แหละครับ คือเหตุผลหลักที่ทำให้ผมชอบอุลตร้าเซเว่น เพราะอุลตร้าเซเว่นไม่มีปุ่มพลัง(Color Timer)ที่หน้าอก แม้ว่าปุ่มพลังจะมีข้อดีตรงที่ช่วยเตือนได้ แต่อีกมุมหนึ่งมันก็เป็นเครื่องหมายแสดงความอ่อนแอของอุลตร้าแมนเช่นเดียวกัน เมื่อไหร่ที่ปุ่มพลังเปลี่ยนเป็นสีแดงและเริ่มกระพริบ อุลตร้าแมน(และเรา)จะเริ่มร้อนรน ต้องรีบหาวิธีจัดการกับสัตว์ประหลาดเพราะเหลือเวลาอีกไม่นานก็จะหมดพลัง และถ้าสัตว์ประหลาดบางตัวฉลาดพอจะรู้ความหมายของแสงสีแดงที่กระพริบๆอยู่บนหน้าอก อุลตร้าแมนจะซวยทันที(เคยมีเคสนี้เกิดขึ้นแล้วด้วย) อุลตร้าเซเว่นไม่มีปุ่มพลังที่หน้าอก นั่นก็เท่ากับว่าเซเว่นก็จะขาดเครื่องเตือน (ผมว่าพวกขีดจำกัดและเวลาพวกนี้มันก็พอจะใช้ความรู้สึกวัดได้อะนะ) แต่ในทางกลับกันเซเว่นก็จะไม่แสดงจุดอ่อนให้ศัตรูเห็นเช่นกัน ศัตรูบางคนอยาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วเซเว่นก็มีเวลาจำกัดเช่นเดียวกับอุลตร้าแมนท่านอื่นๆ(ผมเองก็เพิ่งจะมารู้เมื่อไม่นานมานี้เอง)


อุลตร้าแมนแจ็คขณะเวลาใกล้หมด


คิดๆแล้วก็คล้ายกับกรณี ดาร์ธ เวเดอร์ที่มีปุ่มควบคุมชุดที่หน้าอก หลายๆท่านน่าจะทราบว่าถ้าเวเดอร์ถอดชุดหรือระบบช่วยพยุงชีวิตในชุดเสียหาย เวดอร์จะตายทันที ถ้าสมมติผมเป็นเจได แล้วได้ไปประลองกับเวเดอร์ สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คือใช้ Force กดปุ่มที่หน้าอกเวเดอร์เล่นครับ เพราะผมอาจจะชนะได้ง่ายๆเลยก็เป็นได้ หิหิ


เวเดอร์ ผู้มีจุดอ่อนอยู่ที่หน้าอก เช่นเดียวกับอุลตร้าแมน


เพลงของอุลตร้าเซเว่น เพราะมากครับ



Read More...

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รู้จักกับนิยายไซไฟ สถาบันสถาปนา(Foundation)


หนังสือชุด สถาบันสถาปนา

นิยายไซ-ไฟ สถาบันสถาปนา


             เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว ผมประสบกับวิกฤติการขาดแคลนนิยาย ต้องบอกไว้ก่อนว่าผมเป็นคนชอบอ่านมาก(ถึงมากที่สุด)เรียกได้ว่าว่างเมื่อไหร่เป็นต้องหาหนังสือมาอ่าน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่ให้ความรู้หรือหนังสือนิยายก็ตาม แต่เมื่อกลางปีที่แล้วหลังจากอ่านหนังสือชุด The Hero of Olympus จบไปสามเล่มผมก็พบว่าไม่มีหนังสือจะอ่านอีกต่อไปดังนั้นผมจำต้องหันไปพึ่งอากู๋ ในใจกะว่าจะลองหานิยายแนวใหม่มาลองชิม 

         นิยายชุด The Hero of Olympus

             ถามอากู๋ไปเรื่อยๆก็ไปเจอบทความ  10 สุดยอดไซ-ไฟอวกาศ แนะนำโดย ชัยคุปต์ ผมรีบกดเข้าไปอ่านทันที เพราะจำได้ลางๆว่าตอนเด็กเคยอ่านนิตยสารต่วยตูนฉบับเก่ามาก และ ชัยคุปต์ ก็เป็นหนึ่งในนักเขียนที่ผมชอบ ทั้งสิบอันดับในบทความเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยอ่านทั้งสิ้น เนื่องด้วยมันตีพิมพ์มานานแล้ว(บางเล่มก่อนพ่อผมเกินซะอีก) แต่แล้วผมก็ไปสะดุดกับอันดับที่สอง...

            อันดับที่สองที่ว่าก็คือหนังสือ  “สถาบันสถาปนา” (Foundation) ของไอแซก อาซิมอฟ (Isaac Asimov) ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ.2503 ที่สะดุดตากับเล่มนี้ก็เพราะผมจำคนเขียนท่านได้ จากท้ายเครดิตของหนังเรื่อง I Robot (วิลล์ สมิท นำแสดง) ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมชอบมาก (โดยเฉพาะกฎสามข้อของหุ่นยนต์) หนังสร้างมาจากนิยายของนักเขียนท่านนี้ หลังจากนั้นอีกหลายวันต่อมาผมก็ได้มันมาครอบครอง(ใช้เวลาหานานมากๆๆๆๆๆ เพราะเรื่องนี้พิมพ์มานานโคตร)


I,Robot



เปิดเข้ามาหน้าแรกก็เจอกับเรื่องย่อที่ทำให้รู้สึกอยากอ่านขึ้นมาทันที เรื่องย่อที่ว่าก็มีประมาณนี้ครับ
            “จักรวาลที่ประกอบด้วยดาวเคราะห์นับล้านดวงรวมเป็นอาณาจักรเดียว  จักรวรรดิสากลจักรวาล มีอาณาเขตจากปลายหนึ่งจดอีกปลายหนึ่งของกาแลกซีทางช้างเผือก มีพลเมืองกว่าล้านกำลังสี่  มีพระมหาจักรพรรดิเป็นประมุข 

            แต่ก็เฉกเช่นอาณาจักรต่าง ๆ ในอดีตที่มีรุ่งก็มีดับ  จักรวรรดิสากลจักรวาลนี้กำลังเริ่มเสื่อมโทรมลง  แต่ด้วยเหตุที่ว่าใหญ่ยิ่งกว่าใหญ่ อาการเสื่อมโทรมจึงค่อยเป็นค่อยไป  กินเวลานานยิ่งกว่านาน  ช่วงว่างระหว่างความรุ่งเรืองแรกกับความรุ่งเรืองที่จะเกิดขึ้นใหม่ก็ต้องนานแสนนานด้วย  โดยจะกินเวลาถึง 30,000 ปี 

            โชคดีที่ ฮาริ เซลด็อน นักจิตวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้บุกเบิกวิชาการด้านอนาคตประวัติศาสตร์ (psychohistory) ได้สังเกตเห็นอาการเสื่อมโทรมดังว่านี้  จึงคิดแก้ไข “ย่น” ช่วงว่างนั้นให้สั้นลงเหลือเป็นอนารยะยุคเพียง 1,000 ปี  โดยการก่อตั้งสถาบันสถาปนาขึ้น”

            เป็นไงหละครับ เริ่มน่าสนใจแล้วใช่มะ....

สถาบันสถาปนา เล่มที่ 1

เรามาว่ากันถึงหนังสือทั้งหมดในชุดสถาบันสถาปนาเท่าที่ผมอ่านกันบ้างดีกว่า
1.สถาบันสถาปนา (Foundation)
2.สถาบันสถาปนาและจักรวรรดิ (Foundation and Empire)
3.สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง (Second Foundation)
4.สถาบันสถาปนาและปฐมภพ (Foundation's Edge)
5.สถาบันสถาปนาและโลก (Foundation and Earth)
            นี่คือทั้งหมดเท่าที่ผมหาได้ในตอนนี้ครับ เล่ม
1 2 และ 3 หรือที่เรียกกันว่า ไตรภาคแรกนั้น ตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในปี ค.ศ. 1951 โน่น หลังจากนั้นอาซิมอฟก็พักการเขียนหนังสือชุดนี้ไปนาน จนในที่สุดก็กลับมาเขียนเล่มที่เหลือในช่วงกลางทศวรรศที่ 1980

สถาบันสถาปนา ฉบับแปลไทยทั้ง 5 เล่มโดยสำนักพิมพ์ โปรวิชั่น

            ความเจ๋งของหนังสือชุดนี้ในความคิดผมก็คือจินตนาการอันสุดแสนจะล้ำเลิศของนักเขียน เรียกได้ว่าต่อให้เอามาเทียบกับนิยายในยุคปัจจุบันก็ยังมีหลายเรื่องที่ก้าวล้ำไปไกลกว่า เราต้องไม่ลืมว่าคุณลุงอาซิมอฟเริ่มเขียนเรื่องนี้ในยุค 1950 ในช่วงที่สงครามเย็นยังครุกรุ่นและอำนาจนิวเคลียร์ยังเป็นของใหม่ที่มีไม่กี่คนที่รู้จัก และด้วยพล็อตเรื่องที่เกี่ยวกับการย่นย่อระยะเวลาแห่งความเสื่อมมันจึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะนำมาอ่านในยุคนี้ เนื่องด้วยมันอาจจะนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ 

            ตอนต่อไปผมจะมาเจาะลึกสามองค์กรหลักที่มีบทบาทในการชี้นำประวัติศาสตร์ในหนังสือชุดนี้ ซึ่งได้แก่ สถาบันสถาปนา(Foundation) สถาบันสถาปนาที่สอง( Second Foundation) และ ปฐมภพ(Gaia)


Read More...