วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เมื่ออาซิมอฟและอาร์เทอร์ ซี.คลาร์กคิดเหมือนกัน

หลังจากที่ได้อ่านผลงานของนักเขียนนิยายไซ-ไฟชั้นปรมจารย์ ทั้งของอาซิมอฟ และอาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก มีแนวคิดหนึ่งที่ทั้งสองท่านคิดได้คล้ายๆกันและผมมองว่ามันน่าสนใจมากทีเดี่ยว แนวคิดที่ว่านั้นคือแนวคิด "จิตสำนึกรวมหมู่" ครับ 

บน : ไอแซค อาซิมอฟ      ล่าง : อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก    สองปรมจารย์นิยายไซ-ไฟ



ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ จิตสำนึกรวมหมู่คือการรวมกันของจิตมนุษย์ ซึ่งอาจะเกิดขึ้นกับคนเพียงกลุ่มเดียว หรือเกิดขึ้นกับมนุษย์ทั้งหมดในดาวดวงนั้นเลยก็ได้ จิตสำนึกที่ว่านี้ไม่ใช่แค่มนุษย์มีความคิดบางอย่างร่วมกัน แต่หมายถึงทุกๆคนมีจิตๆเดียวกัน และเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งวิธีการในการเกิดจิตสำนึกรวมหมู่นั้น ทั้งสองท่านได้อธิบายแตกต่างกันออกไปครับ ในนิยายของอาซิมอฟ จิตสำนึกรวมหมู่เกิดจากการที่หุ่นยนต์สอนมนุษย์ให้สามารถใช้สมองได้เต็มศักยภาพ(เหตุที่ทำให้หุ่นยนต์ต้องสอนนั่นก็เพราะกฎข้อที่หนึ่งของหุ่นยนต์) แต่ในนิยายของอาร์เธอร์ จิตสำนึกรวมหมู่นั้นเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติหลังจากการที่มนุษย์ชาติถึงจุดสูงสุดทางอารยธรรมภายใต้การนำของพวกเทพ



ถึงแม้ที่มาจะต่างกันแต่ก็มีความคล้ายกันอยู่มากครับ เป็นต้นว่าเมื่อเกิดจิตสำนึกรวมหมู่ขึ้นมาแล้วสรรพ
นามที่ใช้เรียก "เรา" หรือ "เขา" ก็จะไม่มีอีกต่อไป เพราะทุกคนเป็นเสมือนคนเดียวกัน ความรู้ต่างๆที่คนหนึ่งรู้จะถูกแชร์ไปให้คนอื่นกันแบบทั้วถึง ด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มคนที่มีจิตสำนึกรวมหมู่จึงไม่จำเป็นต้องเรียนแบบที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันอยู่อีกต่อไป


ข้อดีของจิตสำนึกรวมหมู่ยังมีอีกเยอะมากครับ ตัวอย่างเช่น เมื่อเรามีจิตสำนึกรวมหมู่แล้ว จะไม่มีอาชญากรรมทุกรูปแบบเกิดขึ้น เพราะการทำร้าย ข่มเหง รังแกคนอื่นก็เหมือนเป็นการทำร้ายตนเอง (ตอนนี้คนอืนหรือตัวเองไม่มีอีกแล้ว ทั้งหมดคือหนึ่งเดียว) ผลที่ตามมาอีกอย่างก็คือจะเกิดความเท่าเทียมกันในหมู่มนุษย์ ไม่มีใครดูถูกคนอื่นว่าต่ำต่อยกว่าตน การโกหกก็จะอันตรธานหายไปโดยสิ้นเชิง เนื่องด้วยทุกคนต่างก็รู้ในสิ่งที่คนอื่นกำลังคิดจึงไม่มีทางเลยที่จะโกหกกันได้





.....ปัญหาทุกอย่างที่สังคมเรามีในตอนนี้จะหมดไปทันที.....






- แนวคิดจิตสำนึกรวมหมู่ของอาซิมอฟที่ผมพูดถึงก็คือ "ปฐมภพ"
จากหนังสือสถาบันสถาปนาและปฐมภพ(Foundation's Edge)
http://goo.gl/IXl1cz

- แนวคิดจิตสำนึกรวมหมู่ของอาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก ที่ผมพูดถึงก็คือ "อภิจิต"
จากหนังสือเรื่องสุดสิ้นกลิ่นน้ำนม(Childhood's End)
http://goo.gl/40aYTB


Read More...

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

The Imitation Game :: เมื่อความปรารถนาอันแสนธรรมดาชี้ชะตาชีวิตคนได้นับล้าน...




มนุษย์ทุกคนล้วนมีความปรารถนา เจ้าความปรารถนานี้เองที่เป็นสิ่งผลักดันให้เราทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่าง ยิ่งพลังแห่งความปรารถนาในใจของเราแรงกล้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เราพยายามไขว่คว้ามันมากขึ้นเท่านั้น คำถามที่ตามมาก็คือจะเกิดอะไรต่อไปหลังจากเราสมปรารถนาแล้ว?


อลัน ทัวริ่ง ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง และแน่นอนว่าเขาย่อมต้องมีความปรารถนา ความปรารถนาของทัวริงคือ เขาอยากจะเจอคนที่เค้ารักอีกครั้ง ทัวริงทำทุกวิถีทางเพื่อให้สมปรารถนา หลังจากหลายปีผ่านไปในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ แต่ ณ วินาทีที่เขาทำสำเร็จนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กุมอำนาจอันมาหาศาลไว้ในมือ อำนาจที่มากเกินกว่าที่จะอยู่ในมือคนคนเดียว มันเป็นผลกระทบที่แม้แต่คนฉลาดเข้าขั้นอัจฉริยะอย่างเขาก็ไม่คาดคิด....




อลัน ทัวริง เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ เกิดเมื่อปี คศ. 1912 จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ช่วงสงครามโลกเขาได้ทำงานเกี่ยวกับการถอดรหัสเครื่องอินิคม่าของเยอรมัน เจ้าเครื่องอินิคม่านี้เป็นเครื่องเข้ารหัสที่เยอรมันใช้เข้ารหัสข้อความทุกข้อความก่อนจะส่งออกไปทางคลื่นวิทยุ วิธีการนี้ทำให้แม้ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถดักฟังข้อความได้แต่ก็ไม่สามารถแปลออก ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร เนื่องจากไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเยอรมันว่ากำลังส่วนไหนไว้ที่ไหนบ้าง และจะโจมตีเมื่อใด ช่วงต้นสงครามฝ่ายที่ได้เปรียบจึงเป็นเยอรมัน ฝ่ายสัมพันธมิตรรู้ดีว่าตนเองเสียเปรียบ 
จึงทุ่มเทความพยายามเพื่อที่จะถอดรหัสเครื่องอินิกม่า


ตอนนี้เองที่ทัวริงได้เข้ามามีบทบาท เขาได้อาสาที่จะถอดรหัสเครื่องเจ้าปัญหานี้ แม้ว่าผ่ายสัมพันธมิตรสามารถยึดเครื่องอินิคม่ามาได้หนึ่งเครื่อง แต่การจะถอดรหัสก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกๆวันเวลาเที่ยงคืน เยอรมันจะทำการเปลียนการตั้งค่าของเจ้าเครื่องอินิคมานี้ใหม่ นั่นหมายความว่าต่อให้เป็นข้อความเดียวกัน แต่ส่งคนละวันอักขระที่ได้จากการเข้ารหัสก็จะไม่เหมือนเดิม ดังนั้นต่อให้สามารถถอดรหัสได้ แต่วิธีการนั้นก็ใช้ได้อย่างมากแค่หนึ่งวันแล้วก็ต้องมาถอดรหัสกันใหม่อีกรอบ และอย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ทุกๆเที่ยงคืนเยอรมันจะทำการตั้งค่าเครื่องใหม่ ทัวริงคำนวนคร่าวๆว่า มีรูปแบบการตั้งค่าเครื่องอินิคม่าที่เป็นไปได้ถึง 150 ล้านล้านรูปแบบ  ซึ่งถ้าใช้วิธีค่อยๆถอดรหัสทีละแบบไปเรื่อยๆจะใช้เวลาหลายร้อยปีว่าที่จะถอดได้หมดทุกแบบ


จากความยากของปัญหาทั้งหมดบวกกับความปรารถนาที่จะเจอคนที่รักอีกครั้งของทัวริ่ง ทำให้เขาตัดสินใจสร้างเครื่องจักรที่ใช้ถอดรหัสเครื่องอินิคม่าแทนที่จะใช้คนถอดรหัส เข้าทำนองที่ว่าใช้เครื่องจักรสู้กับเครื่องจักร ทัวริงตั้งชื่อเครื่องจักรของเขาว่า คริสโตเฟอร์ ตามชื่อของคนที่เขารักที่ด่วนจากเขาไปตั้งแต่ยังเด็ก




ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าในใจ ทัวริงทุ่มเททุกอย่างเพื่อสร้างเครื่องนี้ เขาเชื่อว่าคริสโตเฟอร์จะต้องทำงานได้ และแม้ว่าระหว่างสร้างจะเจอกับอุปสรรคมากมายในทีสุดเขาก็ทำสำเร็จ เขาสามารถถอดรหัสข้อความแรกของเยอรมันได้ และรู้ว่าเยอรมันจะทำการโจมตีกองเรือของอังกฤษในอีกไม่กี่นาทีนี้ เมื่อนั้นเองเขาก็ตระหนักได้ว่าเขามีอำนาจมากเพียงไร ตอนนี้เขาสามารถกำหนดความเป็นความตายให้กับลูกเรือในกองเรืออังกฤษจำนวนหลายพันชีวิต เขาสามารถแจ้งเตือนไปยังกองเรือเพื่อให้ล่าถอยออกมาได้แต่เขากลับไม่แจ้งเตือน  ผลคือลูกเรือหลายพันชีวิตต้องตาย
แล้วทำไมเขาถึงไม่แจ้งเตือนกองเรือเหล่านั้น?





หลายๆคนอาจจะคิดว่าทัวริงเลือดเย็นที่ไม่ยอมเตือนกองเรือ แต่ลองคิดดูครับ ลองคิดดูไกลๆกว่านั้น ลองคิดดูว่าถ้าแจ้งเตือนไปแล้วกองเรืออังกฤษสามารถหนีมาได้อย่างปลอดภัยมันจะเกิดอะไรตามมา คำตอบก็คือเยอรมันจะรู้ว่าตัวเองโดนถอดรหัสได้ และเมื่อเป็นแบบนั้นเยอรมันก็จะหันไปใช้เครื่องเข้ารหัสชนิดอื่นแทน และทำให้งานที่ทัวริงและทีมทำมากว่า 2 ปี กลายเป็นสูญเปล่า และจะเสียเวลาอีกหลายปีเพื่อที่จะแกะได้ใหม่อีกครั้ง
แล้วแบบนี้จะต้องทำอย่างไรหละ ในเมื่อทำแล้วอีกฝ่ายก็จะรู้?


ทัวริงแก้ปัญหานี้ด้วยหลักที่ว่าพยายามเคลื่อนไหวให้น้อยทีสุดเพื่อไม่ให้ฝ่ายเยอรมันระแคะระคาย และการเคลื่อนไหวแต่และครั้งก็ต้องเกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อช่วยชีวิตผู้คนให้ได้มากที่สุด ทุกครั้งที่จะเกิดการปะทะจะต้องมีการคำนวนทางสถิติเพื่อหาวิธีที่จะมีความเสียหายน้อยที่สุด พูดง่ายๆก็คือเขาคือคนที่จะตัดสินว่าใครจะอยู่ใครจะไปในการรบแต่ละครั้ง นี้แหละครับคืออำนาจที่ผมพูดถึง และมันเป็นอำนานที่ออกจะมากเกินไปที่จะถืออยู่ในมือของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง




มีอีกหนึ่งคำถามที่ผมเฝ้าถามตัวเองอยู๋นานหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบนั่นก็คือ มันถูกแล้วหรือที่จะตัดสินความเป็นความตายคนโดยใช้หลักสถิติ? และถ้าไม่เราจะใช้หลักอะไรมาตัดสินในสถานะการเช่นนี้? เป็นคำถามที่อยากจะให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูครับ...


สุดท้ายนนี้ ผมจะขอไม่กล่าวถึงจุดจบของอลัน ทัวริงเพราะผมคิดว่ามันเป็นจุดจบที่ไม่ยุติธรรมและน่าเศร้าเกินกว่าที่วีระบุรุษสงครามอย่างเขาต้องมาพบเจอกับชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นนี้


แล้วเจอกันใหม่บทความหน้าครับ


Read More...

วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รีวิวเพลงที่ฟังตลอดทั้งปี 2014

และแล้วปีใหม่ก็มาเยือน... มันเป็นธรรมเนียมที่ทุกปีผมจะมาเขียนรีวิวเพลงที่ได้ฟังในเวลาตลอดทั้งปี  ปีนี้เป็นปีที่ 3 ที่ได้ทำเช่นนี้ แต่มันเป็นปีแรกที่ได้มาเขียนที่นี่ ในบล็อกกากๆของผมเอง


ปีที่เพิ่งจะผ่านไปนี้ค่อนข้างจะเป็นปีที่ดีสำหรับผม แต่ในขณะเดียวกันมั้นก็เป็นปีที่เจอเรื่องยุ่งเข้ามาในชีวิตมากมายด้วยเช่นกัน ทั้งเรื่องที่ผมได้เป็นพี่ปีสอง ต้องคอยให้คำปรึกษากับน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่(และผมคิดว่าผมค่อนข้างทำได้ดีทีเดียว) ไหนจะต้องเรียนวิชาในภาคที่สำคัญสุดๆเพราะมันเป็นพื้นฐานอย่าง Data Structures (ซึ่งผมก็ผ่านมันไปได้ด้วยดี ถึงแม้จะขลุกขลักบ้างตอนทำโปรเจค) ต้องเจอกับวิชาคำนวนที่ผมไม่ค่อยจะชอบอย่างวิชา Discrete (แต่ไม่รู้เป็นไง ยิ่งเรียนยิ่งหลงรักวิชานี้) และยังมีเรื่องอื่นๆที่ได้เจอเยอะแยะมากมายเกินกว่าจะเล่าได้หมด

และด้วยความยุ่งที่บอกไปด้านบนนี้เองบวกกับการที่ผมลงวินโดวส์ใหม่(ผมเป็นหนึ่งในคนที่ลองใช้ Windows 10) ทำให้ผมไม่ค่อยจะมีเวลามาเก็บสถิติเพลงที่ฟังซักเท่าไหร่ ปีนี้ผมเลยคิดว่า ผมจะเปลี่ยนเป็น รีวิวอัลบัมที่ฟังบ่อยๆในปีนี้ก็แล้วกัน

_________________________________________________________________________

#### อัลบัมที่ 1 ####


อัลบัม Girl 
เอาหละ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า อัลบัมแรกที่ผมได้ฟังก็คือ Girl ของ Pharrell Williams
ต้องออกตัวก่อนว่่าผมเองก็ยังเข้าไม่ถึงอัลบัมนี้ซักเท่าไหร่ แต่มันก็มีเพลงที่ผมชอบอยู่หลายเพลงเลยทีเดียว เพลงเด็ดในอัลบัมนี้ผมขอยกให้ Marilyn Monroe(8/10) และ Gust of Wind(8.5/10) ที่ได้ Daft Punk มาร่วมแจม


MV เพลง Marilyn Monroe

_________________________________________________________________________

#### อัลบัมที่ 2 ####


ปกอัลบัม Supermodel ของ Foster The People (สวยมาก)
ต่อกันด้วยอัลบัมใหม่ของวงอินดี้ชื่อน่ารักอย่าง Foster The People ที่ปีนี้มากับอัลบัมใหม่ Supermodel ถึงแม้อัลบัมนี้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านรายได้เท่าไหร่แต่มันประสบความสำเร็จในใจผมมากครับ เป็นอะไรที่ฟังเพลินๆได้เกือบทั้งอัลบั้ม ที่บอกว่าเกือบนี่ก็เพราะว่าท้ายอัลบัมมันปิดได้ไม่ค่อยสวยซักเท่าไหร่ เพลงเด็ดที่จะแนะนำ(เลือกยากนะ เพราะทั้งนั้น) Best Friend(9.5/10) และ เพลงชื่อโคตรเจ๋งอย่าง A Beginner's Guide To Destroying The Moon(8.5/10) 


MV เพลง Best Friend

_________________________________________________________________________


#### อัลบัมที่ 3 ####


อัลบัม 1989
อัลบัมที่สามเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของตัวผมเอง นั่นก็คืออัลบัม 1989 ของ Taylor Swift สาเหตุที่มันเหนือความคาดหมายก็เพราะว่าปรกติแล้วผมไม่ชอบฟังเพลงของเทย์ซักเท่าไหร่ ผมคิดว่ามันคันทรีย์ไป เพิ่งจะมาอัลบัมหลังๆนี้เองที่มีเพลงที่ผมพอจะฟังได้ และ 1989 ก็เป็นอะไรที่ดีมากมายในความคิดผม มีเพลงที่ชอบหลายเพลงมากในอัลบั้มนี้ แต่ที่ชอบที่สุดนี่ต้องยกให้ Style(9.7/10) อันดับที่สองก็คือ I Know Places(9.2/10) และสุดท้ายคือ Blank Space(8.5/10)

MV เพลง Blank Space

_________________________________________________________________________

#### อัลบัมที่ 4 ####


ปกอัลบัม Pure Heroine มาแบบเรียบๆ
อัลบัมที่สี่ เป็นอัลบัมจากนักร้องหน้าใหม่อีกคนของวงการ นั่นก็คือ หนู Lordes อัลบัมนี้มีนามว่า Pure Heroine(แค่ชื่อก็ อาจจะทำให้ติดได้) เพลงของหนูหลอดเป็นอะไรที่แปลกและแตกต่างกับของศิลปินท่านอื่นในวงการพอสมควร มันฟังดูช้าเนิบนาบในขณะเดียวกันมันก็มีจังหวะเป็นของตนเอง เพลงที่ผมชอบก็คือ 400 Lux(9/10)  Buzzcut Season(9/10) และ Team(9.5/10)

MV เพลง Team

_________________________________________________________________________

#### เพลงแห่งปี ####


ทั้งสี่อัลบัมที่ผ่านมาล้วนเป็นอัลบัมที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งสำหรับผมในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่จริงๆแล้วยังมีอีกหนึ่งอัลบัมที่ผมฟัง แถมฟังบ่อยมากซะด้วย แต่บอกตรงๆครับว่าผมเองยังไม่กล้าที่จะรีวิวมันครับ ในความคิดผม มันดีเกินไป เกินกว่าจะมาเล่ามาบบรรยายเป็นคำพูดได้ครับ ในอัลบัมนี้เองมีเพลงเพลงหนึ่งที่ผมฟังบ่อยที่สุด ผมจึงยกให้เป็นเพลงแห่งปีสำหรับผมเพลงนั้นก็คือ Sad Girl จาก อัลบัม Ultraviolence ของ Lana Del Rey นั่นเองครับบบบ




ขอบคุณเพลงทุกเพลงในนี้จริงๆที่ช่วยให้ผมผ่านพ้นปีนี้มาได้ ทุกเพลงเปรียบเสมือนเพื่อนของผมคนหนึ่ง บางเพลงเป็นเพื่อนในยามดีใจ บางเพลงเป็นเพื่อนในยามทุกข์ใจ ในขณะที่บางเพลงเป็นเพื่อนที่ค่อยอยู่ข้างกันในยามวุ่นวาย ผมหวังว่าปีหน้าผมจะได้เจอเพลงดีๆแบบนี้อีก...


Read More...

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

You've got to love yourself.


         

"Find out for yourself all the strengths you have inside of you."
"ค้นหาด้วยตัวของตัวเอง ด้วยพลังทั้งหมดที่คุณมี"







            Song For a Friend คือเพลงของเจสัน มราซ ที่ผมฟังบ่อยที่สุด(อ่านดีๆนะ ฟังบ่อยที่สุด ไม่ใช่ชอบที่สุด) อาจจะเป็นเพราะว่าผมชอบฟังเพลงที่มันตอกย้ำความรู้สึกตัวเอง


          สำหรับผมแล้วเพลงนี้มันเป็นเหมือน "ที่สิงสถิตย์ของจิตวิญญาณแห่งความเหงา" ฟังแล้วมีผลทำให้เหงามากกว่าเดิมแบบยกกำลังสองแล้วคูณเข้าไปอีกสาม!!(เวอร์)


          เอาแค่ได้ยินเสียงกีต้าร์ตอนเริ่มเพลงแค่นี้ก็ได้สำผัสได้ถึงพลังงานแห่งความเหงามาแต่ไกล นี่ยังไม่นับน้ำเสียงนักร้อง ที่ร้องได้เชือดเฉือนอารมณ์ความรู้สึกชนิดที่ว่า....หนาวไปถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว


          ท่อนที่โดนที่สุดก็คงจะเป็นท่อนที่ร้องว่า ...you've got to love yourself...  มันคอยเตือนใจตัวผมเองมาตลอดว่า เมื่อเราอยู่คนเดียว สิ่งที่เราต้องทำก็คือ รักตัวเอง เพราะเราไม่ได้อยู่กับใครนอกจากตัวเราเอง ดังนั้นจงรักมันซะ และรักมันให้มากๆด้วย...




ใครที่ต้องการเพิ่มความเหงาให้กับตัวเอง ก็จงกดฟังดู


Read More...

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รีวิวอัลบัม We Sing, We Dance, We Steal Things - Jason Marz (MASTERPIECE)

ในบรรดาผลงานเพลงทั้งหมดของ Jason Marz อัลบัมที่ดีที่สุดและผมถือว่าเป็น มาสเตอร์พีชของเขาเลยก็คือคืออัลบัม We Sing, We Dance, We Steal Things (ชื่อยาวจัง)




ความเป็นมาสเตอร์พีชของอัลบัมนี้เห็นได้ชัดที่ภาคดนตรี ที่มีการพัฒนาจากอัลบัมเก่าของเขาอย่าง Mr. A-Z ค่อนข้างมาก ด้วยการปรับให้ดนตรีออกแนว Acoustic มากขึ้น แซมด้วยเสียงเครื่องเป่า(ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือเครื่องดนตรีชนิดไหน) พอรวมเข้ากับน้ำเสียงหวานๆขยี้ใจสาวที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาแล้ว มันเป็นอะไรที่วิเศษณ์มากครับ เรียกได้ว่าลงตัวอย่างน่าประหลาด (ฮา)


อัลบัม Mr. A-Z



แทรคแนะนำ

1.Make It Mine(4.75/5) แทรคเปิดอัลบัมที่บ่งบอกภาพรวมของอัลบัมได้เป็นอย่างดี ดนตรีออกแนวสนุกสนาน มีทั้งเสียงเครื่องเป่า บางท่อนใช้เสียงประสานบวกกับจังหวะปรบมือ ถือว่าทำได้ดีมากครับ แค่เปิดอัลบัมมาก็ฟินแล้ว

2.I'm Yours(4.5/5) เพลงนี้ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ เพราะมันเป็นเพลงที่คนไทยน่าจะได้ยินกันบ่อยที่สุดในอัลบัมนี้เลยหละ ด้วยดนตรีที่เป็น Acoustic เนื้อหาเพลงและความหมายก็ดีสุดๆ แถมเพลงนี้เฮียเจสันยังโชว์ทักษะการร้องขั้นเทพของแกเต็มที ช่วงไหนรัวได้เฮียแกรัวไม่ยังเลยนะครับ เพลงนี้ติดทำสถิติอยู่ในชาร์ตบิลบอร์ดนานถึง 76 สัปดาห์ด้วยกัน (ปรบมือ)

3.Lucky (Feat. Colbie Caillat)(4.25/5) แทรคนี้ได้นักร้องเสียงหวานอย่าง Colbie มา feat ด้วย เลยออกมาหวานนนนนนนนนนนมากครับ ไปเปิดที่ไหนควรจะมีคำเตือนขึ้นมาด้วยว่า "อันตราย! ฟังเพลงนี้แล้วอาจละลายได้" สำหรับผมแล้ว เพลงนี้มันหวานไปหน่อยครับ ฟังมากๆแล้วเลี่ยน (ฮา)




4.Butterfly(5/5) และแล้วก็มาถึงแทรคที่ผมชอบที่สุดในอัลบัมนี้ เริ่มจากภาคดนตรีที่จัดเต็มด้วยเครื่องเป่า และภาคการร้องที่ยอดเยี่ยมพอๆกับ I'm yours เนื้อเพลงถึงแม้จะหวานแต่ก็ออกมาหวานพอดิบพอดี เหมือนเอาข้อดีจากสามแทรคด้านบนมารวมกันเลยทีเดียว!!!

5.The Dynamo Of Volition(4.5/5) ฟังครั้งแรกแล้วถึงกับตกใจ เพราะเกือบทั้งเพลงใช้การร้องรัวๆกึ่งแร็ปแบบที่ไม่เคยได้ยินจากทุกเพลงในอัลบัมนี้ ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดีครับ

6.A Beautiful Mess(4.75/5) แทรคปิดอัลบัมสุดซึ้ง ตอนฟังครั้งแรกๆผมรู้สึกเฉยๆกับแทรคนี้ แค่คิดว่ามันเป็นเพลงสวยๆซึ้งๆแบบที่เฮียเจสันถนัด แต่พอได้ดูตอนที่เฮียแกไปแสดงสดในงานประกาศรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ความคิดผมเปลี่ยนทันทีครับ เพราะเพลงนี้แสดงสดแล้วเพราะมาก(ถึงมากที่สุด) น้ำเสียงตอนนั้นทำให้รู้สึกได้ถึงพลังแห่งสันติภาพที่กระจายอยู่รอบตัวเราเลยทีเดียว(เว่อร์ละ)


Jason Marz เป็นหนึ่งในนักร้องไม่กี่คนที่ร้องสด เพราะกว่าในแผ่น


อยากให้ลองฟังกันดูครับ เพลงของเจสันส่วนใหญ่ค่อนข้างฟังง่าย ฟังแล้วสบายใจ ได้อารมณ์ชิลชิลๆ เหมาะอย่างยิ่งที่จะฟังในวันพักผ่อน  ที่สำคัญด้วยสไตล์การร้องที่ฟังง่าย ร้องไม่เร็วมาก(ยกเว้นบางเพลงเช่น The Dynamo Of Volition) และเนื้อเพลงที่ไม่ซับซ้อน ทำให้เพลงของเขาเหมาะกับคนที่ต้องการฝึกทักษะภาษาอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง


Read More...