วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รีวิวอัลบัม We Sing, We Dance, We Steal Things - Jason Marz (MASTERPIECE)

ในบรรดาผลงานเพลงทั้งหมดของ Jason Marz อัลบัมที่ดีที่สุดและผมถือว่าเป็น มาสเตอร์พีชของเขาเลยก็คือคืออัลบัม We Sing, We Dance, We Steal Things (ชื่อยาวจัง)




ความเป็นมาสเตอร์พีชของอัลบัมนี้เห็นได้ชัดที่ภาคดนตรี ที่มีการพัฒนาจากอัลบัมเก่าของเขาอย่าง Mr. A-Z ค่อนข้างมาก ด้วยการปรับให้ดนตรีออกแนว Acoustic มากขึ้น แซมด้วยเสียงเครื่องเป่า(ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือเครื่องดนตรีชนิดไหน) พอรวมเข้ากับน้ำเสียงหวานๆขยี้ใจสาวที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาแล้ว มันเป็นอะไรที่วิเศษณ์มากครับ เรียกได้ว่าลงตัวอย่างน่าประหลาด (ฮา)


อัลบัม Mr. A-Z



แทรคแนะนำ

1.Make It Mine(4.75/5) แทรคเปิดอัลบัมที่บ่งบอกภาพรวมของอัลบัมได้เป็นอย่างดี ดนตรีออกแนวสนุกสนาน มีทั้งเสียงเครื่องเป่า บางท่อนใช้เสียงประสานบวกกับจังหวะปรบมือ ถือว่าทำได้ดีมากครับ แค่เปิดอัลบัมมาก็ฟินแล้ว

2.I'm Yours(4.5/5) เพลงนี้ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ เพราะมันเป็นเพลงที่คนไทยน่าจะได้ยินกันบ่อยที่สุดในอัลบัมนี้เลยหละ ด้วยดนตรีที่เป็น Acoustic เนื้อหาเพลงและความหมายก็ดีสุดๆ แถมเพลงนี้เฮียเจสันยังโชว์ทักษะการร้องขั้นเทพของแกเต็มที ช่วงไหนรัวได้เฮียแกรัวไม่ยังเลยนะครับ เพลงนี้ติดทำสถิติอยู่ในชาร์ตบิลบอร์ดนานถึง 76 สัปดาห์ด้วยกัน (ปรบมือ)

3.Lucky (Feat. Colbie Caillat)(4.25/5) แทรคนี้ได้นักร้องเสียงหวานอย่าง Colbie มา feat ด้วย เลยออกมาหวานนนนนนนนนนนมากครับ ไปเปิดที่ไหนควรจะมีคำเตือนขึ้นมาด้วยว่า "อันตราย! ฟังเพลงนี้แล้วอาจละลายได้" สำหรับผมแล้ว เพลงนี้มันหวานไปหน่อยครับ ฟังมากๆแล้วเลี่ยน (ฮา)




4.Butterfly(5/5) และแล้วก็มาถึงแทรคที่ผมชอบที่สุดในอัลบัมนี้ เริ่มจากภาคดนตรีที่จัดเต็มด้วยเครื่องเป่า และภาคการร้องที่ยอดเยี่ยมพอๆกับ I'm yours เนื้อเพลงถึงแม้จะหวานแต่ก็ออกมาหวานพอดิบพอดี เหมือนเอาข้อดีจากสามแทรคด้านบนมารวมกันเลยทีเดียว!!!

5.The Dynamo Of Volition(4.5/5) ฟังครั้งแรกแล้วถึงกับตกใจ เพราะเกือบทั้งเพลงใช้การร้องรัวๆกึ่งแร็ปแบบที่ไม่เคยได้ยินจากทุกเพลงในอัลบัมนี้ ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดีครับ

6.A Beautiful Mess(4.75/5) แทรคปิดอัลบัมสุดซึ้ง ตอนฟังครั้งแรกๆผมรู้สึกเฉยๆกับแทรคนี้ แค่คิดว่ามันเป็นเพลงสวยๆซึ้งๆแบบที่เฮียเจสันถนัด แต่พอได้ดูตอนที่เฮียแกไปแสดงสดในงานประกาศรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ความคิดผมเปลี่ยนทันทีครับ เพราะเพลงนี้แสดงสดแล้วเพราะมาก(ถึงมากที่สุด) น้ำเสียงตอนนั้นทำให้รู้สึกได้ถึงพลังแห่งสันติภาพที่กระจายอยู่รอบตัวเราเลยทีเดียว(เว่อร์ละ)


Jason Marz เป็นหนึ่งในนักร้องไม่กี่คนที่ร้องสด เพราะกว่าในแผ่น


อยากให้ลองฟังกันดูครับ เพลงของเจสันส่วนใหญ่ค่อนข้างฟังง่าย ฟังแล้วสบายใจ ได้อารมณ์ชิลชิลๆ เหมาะอย่างยิ่งที่จะฟังในวันพักผ่อน  ที่สำคัญด้วยสไตล์การร้องที่ฟังง่าย ร้องไม่เร็วมาก(ยกเว้นบางเพลงเช่น The Dynamo Of Volition) และเนื้อเพลงที่ไม่ซับซ้อน ทำให้เพลงของเขาเหมาะกับคนที่ต้องการฝึกทักษะภาษาอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง


Read More...

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Born To Die อัลบัมในดวงใจตลอดการ





ผมรู้จักอัลบัมนี้ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตผมก็ว่าได้ เป็นอัลบัมแรกที่ผมฟังจบทุกๆเพลง และฟังวันละหลายๆรอบด้วย เรียกได้ว่าถ้าเปรียบอัลบัมนี้เป็นคนๆหนึ่งแล้ว เค้าคงเป็นคนพิเศษของผมอย่างแน่นอน อัลบัมนี้มีความพิเศษและแตกต่างกับอัลบัมอื่นๆที่วางขายในเวลานั้นค่อนข้างมาก และความแตกต่างนี้เองที่ทำให้มันมีเอกลักษณ์และมีความพิเศษกว่าอัลบั้มทั่วๆไป




อัลบัม Born To Die ตัวเพลงจะเป็นแนวที่ ลาน่า(นักร้อง)เรียกว่า "Hollywood Sadcore" ผมเองก็ไม่รู้ครับว่ามันหมายถึงอะไร แต่ในความคิดผมดนตรีจะออกแนวย้อนยุคช่วงปี 60 รวมเข้ากับซาวด์ประกอบหลอนๆ แล้วก็เจือด้วยน้ำเสียงแบบเศร้าๆเข้าไป มันจึงเกิดเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและโดนใจผมสุดๆไปเลยครับ แต่แนวเพลง Hollywood Sadcore นี้ก็เหมือนเป็นดาบสองคมเช่นเดียวกัน กล่าวคือถ้าใครชอบก็จะชอบจนเหมือนต้องมนต์สะกดเลยที่เดียว(เช่นผม เป็นต้น) ส่วนถ้าใครไม่ชอบฟังแล้วอาจจะลบเพลงทิ้งเลยก็ได้ครับ(น่าเสียดาย...)


ปกอัลบัม Born To Die


และอีกสาเหตุที่ทำให้ผมชอบอัลบัมนี้ก็คือ...นักร้องครับ ลาน่า เดล เรย์ (Lana Del Rey) หรือชื่อจริงคือ อลิซาเบ็ธ วูลริดจ์ แกรนด์ เป็นคนที่สวยมาก สวยจนไม่รู้จะบรรยายยังไงเลยหละครับ เอาเป็นว่าดูรูปเองก็แล้วกัน






ได้ขึ้นปกนิตยสารมากมาย



ดูรูปจนอิ่มแล้ว เรามาเริ่มแนะนำแทร็คเด็ดๆในอัลบั้มนี้กันเลยดีว่า

Born To Die(10/10) เป็นแทรคเปิดอัลบัมที่ฟังแล้วรู้สึกถึงภาพรวมของอัลบัมนี้เป็นอย่างดี ขึ้นต้นเพลงด้วยเสียงเครื่องสายสวยๆ ตามด้วยน้ำเสียงเศร้าของลาน่า เรียกได้ว่าได้ยินแล้วถึงกับต้องเหลียวหลังมองเลยทีเดียว องค์ประกอบทุกอย่างทำได้ลงตัว แถมฟังง่ายด้วยนะ




Off To The Races(9.5/10) รอบแรกๆที่ฟังผมมักจะกดข้ามแทร็กนี้ครับ เพราะมันขึ้นต้นแปลกๆ(หัก 0.5) แต่พอเวลาผ่านไป ความชอบผมก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัวครับ ยิ่งท่อนท้ายๆที่คุณเธอประเคนเครื่องสายกันมาแบบจัดเต็มแบบไม่ให้หายใจหายคอ เล่นเอาฟินกันเลยทีเดียว


Blue Jeans(9/10) แทรคนี้ฟังแล้วให้อารมณ์แก็งมาเฟียมาครับ(หรือผมคิดไปเอง?) ได้กลิ่นฮิฟฮอฟอ่อนๆด้วย เป็นแทรคที่แปลกพอๆกับแทรคก่อนหน้า ที่ผมชอบที่สุดคือ MV ครับ ถึงมันจะเป็นขาวดำ แต่มันสื่อให้เห็นถึงความน่ากลัวของคนรักได้ดีมาก(ก็เล่นลงไปว่ายน้ำกับจรเข้เลย)




Video Games(9.8/10) เพลงนี้เอาแค่เสียงระฆังตอนต้นก็ได้ใจผมไปครึ่งหนึ่งแล้วครับ ยิ่งได้น้ำเสียงของลาน่ากับเนื้อเพลงหวานๆเข้ามาอีก ชอบที่สุดก็คือท่อนที่ร้องว่า "Heaven is a place on earth with you" ถ้าเปรียบเพลงนี้เป็นผู้หญิงก็ต้องเป็นผู้หญิงสวยมากครับ สวยระดับเดียวกับนักร้องเลยก็ว่าได้ ข้อเสียเดียวของเพลงนี้ก็คือมันเนิบนาบไปนิด ฟังแล้วอาจจะหลับได้ครับ(หัก 0.2)




National Anthem(10/10) เป็นอีกแทรคที่ทำได้ลงตัวมากๆ เริ่มต้นดัวเสียงเครื่องสาย(ถูกใจอีกแล้ว) ตามมาด้วยเสียงพลุ และต่อด้วยเสียงร้องในสไตล์ของลาน่า ตบท้ายด้วยท่อนฮุกที่เหมือนยกเอาคณะประสานเสียงมาร้องให้ฟัง ทั้งหมดนี้บอกเลยว่าฟินแน่นอนครับ


Lucky Ones(9.5/10) แทรคปิดท้ายอัลบั้มครับ และก็เป็นแทรคที่หวานที่สุดในอัลบั้มเลยก็ว่าได้ ทั้งเนื้อเพลงและก็น้ำเสียงที่หวานปานจะกลืนกิน(ระวังมดขึ้นนะ) ฟังมากๆอาจจะเป็นเบาหวานได้


ลองไปหามาฟังกันนะครับ ไม่แน่ท่านผู้อ่านอาจจะต้องมนต์สะกดของลาน่าแบบที่ผมโดนอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้ครับ


ปิดท้ายกันด้วยเอ็มวี Born To Die และ Blue Jeans






Read More...

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุลตร้าเซเว่น แตกต่างอย่างมีสไตล์



อุลตร้าเซเว่น เป็นอุลตร้าแมนที่ผมชอบที่สุดครับ เพราะว่าเซเว่นแตกต่างและดูจะแหวกกฎมากกว่าอุลตร้าแมนท่านอื่นๆ

ที่ว่าแตกต่างก็เช่น สีของอุลตร้าเซเว่นที่ส่วนใหญ่เป็นสีแดงส้มในขณะที่อุลตร้าแมนท่านอื่น(ในหมู่พี่น้องอุลตร้า)ตัวจะเป็นสีเงินมากกว่า(ยกเว้นน้องเล็กสุดอย่างทาโร่) ใครที่รู้จักผมดีจะรู้ว่าผมชอบสีแดงส้มแบบนี้มาก

อลุตร้าเซเว่นเต็มๆตัว



ความแตกต่างอีกประการก็คือ เวลาอุลตร้าเซเว่นต่อสู้ครับ อุลตร้าแมนท่านอื่นเมื่อแปลงร่างแล้วก็จะออกมาตัวใหญ่ๆแล้วตรงเข้าไปฟัดกับสัตว์ประหลาดเลย แต่อุลตร้าเซเว่นต่างออกไปครับ เมื่ออุลตร้าเซเว่นแปลงร่างแล้ว ขนาดตัวก็จะเท่าๆกับมนุษย์ธรรมดานี่แหละ แล้วหลังจากนั้นค่อยไปขยายร่างให้ใหญ่อีกที ด้วยวิธีการแบบนี้เองทำให้บางครั้งเราจะเห็นเซเว่นในร่างขนาดเท่าคนปกติเข้าไปปราบพวกเอเลี่ยน(ให้อารมณ์เหมือนดูไอ้มดแดง) แล้วค่อยขยายร่างไปสู้กับสัตว์ประหลาดต่อไป ถือเป็นอะไรทีแปลกใหม่ดี เพราะอุลตร้าแมนในความคิดของเราๆท่านๆจะต้องตัวใหญ่ๆ สู้กับสัตว์ประหลาดทีเมืองแทบพัง



อุลตร้าเซเว่นในไซส์เท่าคนปกติ


ความแตกต่างประการต่อมาก็คือ สไตล์การต่อสู้ครับ อุลตร้าเซเว่นมีอาวุธชนิดหนึ่งที่ชอบใช้บ่อยๆที่เรียกว่า "Eye Slugger"(อาย สลั้กเกอร์) เรียกแบบนี้หลายคนอาจจะงงกัน จริงๆแล้วเจ้าอายสลั้กเกอร์ก็คือหงอน(เรียกซะเสียเลย)ที่อยู่บนหัวอุลตร้าเซเว่นนั้นแหละครับ เจ้าอายสลั้กเกอร์นี้สามารถถอดออกมาจากหัวและใช้เป็นอาวุธขว้างใส่ศัตรูหรือใช้เป็นมีดได้ครับ อายสลักเกอร์เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเซเว่นเลยก็ว่าได้ เพราะอลุตร้าแมนท่านอื่นไม่มีอาวุธลักษณะแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วเซเว่นมักจะใช้อายสลั้กเกอร์จัดการกับศัตรูโดยการขว้างออกไปตัดแขนขาและหัว(โหดมาก!) ซึ่งต่างจากอุลตร้าแมนท่านอื่นที่มักจะจัดการด้วยการไขว้มือปล่อยลำแสง(ซึ่งผมรู้สึกว่ามันดูบ้าพลังเกินไปหน่อย)


อาย สลั้กเกอร์
อุลตร้าเซเว่นขณะปล่อยอายสลั้กเกอร์


แต่ก็ใช่ว่าเซเว่นจะปล่อยลำแสงไม่ได้นะครับ เซเว่นสามารถปล่อยสำแสงออกจากปุ่มพลังสีเขียวๆที่หน้าผาก ที่เรียกว่า "Emerium Beam" (เอเมอร์เรี่ยม บีม) และยังสามารถไขว้มือเพื่อปล่อยลำแสงแบบอุลตร้าแมนท่านอี่นได้ด้วย เรียกท่านี้ว่า "Wide Shot" เห็นมั้ยครับ อุลตร้าเซเว่นมีทางเลือกในการพิฆาตศัตรูมากมาย แต่เซเว่นเลือกใช้อายสลั้กเกอร์บ่อยที่สุด(รองลงมาก็เอเมอร์เรี่ยมบีม ส่วนไวด์ช็อตนี่นานๆจะเห็นที) ทำให้ได้ใจผมไปเต็มๆครับ เพราะมันดูไม่บ้าพลังจนเกินไป


Emerium Beam (เอเมอร์เรี่ยม บีม) 

Wide Shot (ไวด์ ช็อต)


สุดท้าย สิ่งที่ผมคิดว่าเซเว่นแหกและแหวกกฎกว่าอุลตร้าแมนท่านอื่นๆก็คือ...ปุ่มพลังที่หน้าอกครับ ท่านผู้อ่านน่าจะรู้นะครับว่าปุ่มพลังที่หน้าอกของอุลตร้าแมนมีไว้เพื่อเตือนและบอกถึงขีดจำกัดในการอยู่บนโลกของอุุลตร้าแมน โดยที่อุลตร้าแมนแทบทุกท่านจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น หลังจากนั้นมันจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง กระพริบๆ เพื่อบ่งบอกว่าใกล้หมดเวลา และไกลถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ อุลตร้าเซเว่นไม่มีปุ่มพลังที่ว่านี้ครับ เรียกได้ว่าเป็นอุลตร้าแมนตัวแรกและตัวเดียวเลยก็ว่าได้ที่ไม่มีปุ่มพลังที่หน้าอก แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ได้ไม่จำกัดนะครับ เพราะจากที่ผมไปสืบค้นข้อมูลมา อุลตร้าเซเว่นมีเวลาปราบสัตว์ประหลาดประมาณ 3.5 นาทีเท่านั้นครับ(พอๆกับอุลตร้าแมนท่านอื่น)


อุลตร้าเซเว่นคืออุลตร้าแมนคนเดี่ยวในหมู่พี่น้องอุลตร้าที่ไม่มีปุ่มพลังที่หน้าอก




นี่แหละครับ คือเหตุผลหลักที่ทำให้ผมชอบอุลตร้าเซเว่น เพราะอุลตร้าเซเว่นไม่มีปุ่มพลัง(Color Timer)ที่หน้าอก แม้ว่าปุ่มพลังจะมีข้อดีตรงที่ช่วยเตือนได้ แต่อีกมุมหนึ่งมันก็เป็นเครื่องหมายแสดงความอ่อนแอของอุลตร้าแมนเช่นเดียวกัน เมื่อไหร่ที่ปุ่มพลังเปลี่ยนเป็นสีแดงและเริ่มกระพริบ อุลตร้าแมน(และเรา)จะเริ่มร้อนรน ต้องรีบหาวิธีจัดการกับสัตว์ประหลาดเพราะเหลือเวลาอีกไม่นานก็จะหมดพลัง และถ้าสัตว์ประหลาดบางตัวฉลาดพอจะรู้ความหมายของแสงสีแดงที่กระพริบๆอยู่บนหน้าอก อุลตร้าแมนจะซวยทันที(เคยมีเคสนี้เกิดขึ้นแล้วด้วย) อุลตร้าเซเว่นไม่มีปุ่มพลังที่หน้าอก นั่นก็เท่ากับว่าเซเว่นก็จะขาดเครื่องเตือน (ผมว่าพวกขีดจำกัดและเวลาพวกนี้มันก็พอจะใช้ความรู้สึกวัดได้อะนะ) แต่ในทางกลับกันเซเว่นก็จะไม่แสดงจุดอ่อนให้ศัตรูเห็นเช่นกัน ศัตรูบางคนอยาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วเซเว่นก็มีเวลาจำกัดเช่นเดียวกับอุลตร้าแมนท่านอื่นๆ(ผมเองก็เพิ่งจะมารู้เมื่อไม่นานมานี้เอง)


อุลตร้าแมนแจ็คขณะเวลาใกล้หมด


คิดๆแล้วก็คล้ายกับกรณี ดาร์ธ เวเดอร์ที่มีปุ่มควบคุมชุดที่หน้าอก หลายๆท่านน่าจะทราบว่าถ้าเวเดอร์ถอดชุดหรือระบบช่วยพยุงชีวิตในชุดเสียหาย เวดอร์จะตายทันที ถ้าสมมติผมเป็นเจได แล้วได้ไปประลองกับเวเดอร์ สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คือใช้ Force กดปุ่มที่หน้าอกเวเดอร์เล่นครับ เพราะผมอาจจะชนะได้ง่ายๆเลยก็เป็นได้ หิหิ


เวเดอร์ ผู้มีจุดอ่อนอยู่ที่หน้าอก เช่นเดียวกับอุลตร้าแมน


เพลงของอุลตร้าเซเว่น เพราะมากครับ



Read More...